วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

22. ภาคผนวก ( Appendix )


 พิสณุ  ฟองศรี (2549:63) กล่าวว่า ส่วนใหญ่ภาคผนวกจะเขียนในรายงานการวิจัย โดยทั่วไปจะมีการเพิ่มจากเค้าโครงการวิจัย เช่น เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ผลการทดลองใช้เครื่องมือ รายชื่อผู้เชี่ยวชาญ กลุ่มผู้ให้ข้อมูล รายชื่อผู้เก็บข้อมูล รายละเอียดผลการวิเคราะห์ข้อมูล คำสั่งโปรแกรมวิเคราะห์ ระเบียบ กฎหมาย และภาพถ่าย เป็นต้น ถ้ามีสาระในส่วนนี้มากควรแบ่งเป็นผนวก ก ข ... ตามลำดับ

 นพเก้า ณ พัทลุง (2548:47) กล่าวว่า เนื้อหาส่วนที่เป็นส่วนประกอบของงานวิจัย ที่ผู้วิจัยต้องการแสดงรายละเอียด แต่ไม่ต้องการเขียนลงไปในส่วนเนื้อหาสาระ เพราะมีรายละเอียดมากเกินไป เช่น ตัวอย่างเครื่องมือการทำวิจัย สูตรทางสถิติที่ใช้ในการวิจัย ถ้าเนื้อหาในภาคผนวกมีหลายประเด็น ก็ให้แยกเป็นผนวก ก. ผนวก ข. ได้

  http://www.sara-dd.com/index.php?option=com  ได้รวบรวมไว้ว่า  ภาคผนวก (Appendix) คือ ส่วนเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องใน วิทยานิพนธ์ ภาคนิพนธ์ ที่ผู้ทำวิทยานิพนธ์ ภาคนิพนธ์ นำมาแสดงประกอบไว้เพื่อให้ วิทยานิพนธ์ ภาคนิพนธ์สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ก่อนรายการภาคผนวกให้มีหน้าบอกตอนภาคผนวก

สรุปได้ว่า     ภาคผนวกคือ เนื้อหาส่วนที่เป็นส่วนประกอบของงานวิจัย ที่ผู้วิจัยต้องการแสดงรายละเอียด แต่ไม่ต้องการเขียนลงไปในส่วนเนื้อหาสาระ เพราะมีรายละเอียดมากเกินไป เช่น เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ผลการทดลองใช้เครื่องมือ รายละเอียดผลการวิเคราะห์ข้อมูลและภาพถ่าย เป็นต้น


ที่มา
พิสณุ ฟองศรี.(2549).วิจัยชั้นเรียน หลักการและเทคนิคปฏิบัติ.พิมพ์ครั้งที่ 1.กรุงเทพฯ: ห้างหุ้นส่วนจำกัด พิมพ์งาม.
นพเก้า ณ พัทลุง.(2548).การวิจัยในชั้นเรียน หลักการและแนวคิดสู่ปฏิบัติ.พิมพ์ครั้งที่ 1: คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ.
 http://www.sara-dd.com/index.php?option=com  เข้าถึงเมื่อวันที่ 15/12/2555

21. เอกสารอ้างอิง ( References )


นพเก้า ณ พัทลุง (2548:47) กล่าวว่า ผู้วิจัยต้องอ้างอิงเอกสารที่นำมาใช้ในงานวิจัยเพื่อให้เกียรติแก่ผู้ที่อ้างถึงและถือเป็นจรรยาบรรณในการวิจัยอีกด้วย รูปแบบการเขียนมีหลายลักษณะด้วยกัน ทั้งนี้ผู้วิจัยสามารถเลือกรูปแบบใดก็ได้ แต่ให้เป็นแบบเดียวกันทั้งฉบับ ซึ่งอาจค้นคว้าได้จากคู่มือการพิมพ์รายงานการวิจัยจากหน่วยงานต่างๆ หรือคู่มือการพิมพ์วิทยานิพนธ์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ
 http://blog.eduzones.com/jipatar/85921 ได้รวบรวมไว้ว่า ตอนสุดท้ายของโครงร่างการวิจัย จะต้องมี เอกสารอ้างอิง หรือรายการอ้างอิง อันได้แก่ รายชื่อหนังสือ สิ่งพิมพ์อื่น ๆ โสตทัศนวัสดุ ตลอดจนวิธีการ ที่ได้ข้อมูลมา เพื่อประกอบ การเอกสารวิจัยเรื่องนั้น ๆ รายการอ้างอิง จะอยู่ต่อจากส่วนเนื้อเรื่อง และก่อนภาคผนวก โดยรูปแบบที่ใช้ควรเป็นไปตามสากลนิยม เช่น Vancouver Style หรือ APA(American Psychological Association) style
www.ampawa.ac.th/แนวทางการเขียนอ้างอิง.doc ได้รวบรวมไว้ว่า ในการค้นคว้าและเรียบเรียงงานวิจัย จะต้องมีการอ้างอิงเอกสารเพื่อการยืนยันและแสดงหลักฐานของการค้นคว้าวิจัย การอ้างอิงในที่นี้หมายถึง การอ้างอิงในเนื้อความเพื่อระบุที่มาของความรู้ที่ใช้ในการวิจัยกำหนดให้ใช้การอ้างอิงแบบนามปี เป็นการอ้างอิงโดยการแทรกเนื้อหาของเอกสารไว้ในเนื้อหาของงานวิจัย ด้วยการระบุชื่อนามสกุล ของผู้แต่ง และปีที่พิมพ์ พร้อมทั้งเลขหน้าที่อ้างอิงในเอกสารนั้น เพื่อสะดวกแก่ผู้วิจัยในการอ้างอิงและให้เป็นแนวทางเดียวกันตลอดทั้งเล่ม

สรุปได้ว่า    เอกสารอ้างอิงคือ การนำเอกสารที่ใช้ในงานวิจัยมาเขียน ได้แก่ รายชื่อหนังสือ สิ่งพิมพ์อื่น ๆ โสตทัศนวัสดุ ตลอดจนวิธีการ ที่ได้ข้อมูลมา เพื่อให้เกียรติแก่ผู้ที่อ้างถึงและถือเป็นจรรยาบรรณในการวิจัยอีกด้วย รูปแบบการเขียนมีหลายลักษณะด้วยกัน ทั้งนี้ผู้วิจัยสามารถเลือกรูปแบบใดก็ได้ แต่ให้เป็นแบบเดียวกันทั้งฉบับ

ที่มา
นพเก้า ณ พัทลุง.(2548).การวิจัยในชั้นเรียน หลักการและแนวคิดสู่ปฏิบัติ.พิมพ์ครั้งที่ 1: คณะศึกษาศาสตร์             มหาวิทยาลัยทักษิณ.
http://blog.eduzones.com/jipatar/85921  เข้าถึงเมื่อวันที่ 17/12/2555
www.ampawa.ac.th/แนวทางการเขียนอ้างอิง.doc  เข้าถึงเมื่อวันที่ 23/12/2555

20. งบประมาณ ( Budget )


ภัทรา  นิคมานนท์ (2542:67) กล่าวว่า ผู้วิจัยจะต้องคำนวณงบประมาณค่าใช้จ่ายต่างๆที่จำเป็นต้องใช้ในการทำวิจัยตลอดโครงการตามความเป็นจริงเพื่อจะได้จัดเตรียมไว้ลวงหน้าเพื่องานวิจัยจะได้ไม่ชะงักภายหลัง

 พิสณุ  ฟองศรี (2549:50) กล่าวว่า งบประมาณเป็นปัจจัยที่สำคัญอีกประการหนึ่งของการวิจัย ถ้าเป็นการเสนอโครงการวิจัยเพื่อขอรับทุนจากแหล่งต่างๆ ก็ต้องกำหนดงบประมาณให้พอเหมาะ เพราะถ้ากำหนดน้อยเกินไปจะทำให้ใช้จ่ายไม่พอ แต่ถ้ามากเกินไปอาจไม่ได้รับทุนต้องคิดคำนวณให้รอบคอ

http://blog.eduzones.com/jipatar/85921 ได้รวบรวมไว้ว่า การกำหนดงบประมาณค่าใช้จ่ายเพื่อการวิจัย ควรแบ่งเป็นหมวดๆ ว่าแต่ละหมวดจะใช้งบประมาณเท่าใด การแบ่งหมวดค่าใช้จ่ายทำได้หลายวิธี ตัวอย่างหนึ่งของการแบ่งหมวด คือ แบ่งเป็น 8 หมวดใหญ่ๆ ได้แก่
1.             เงินเดือนและค่าตอบแทนบุคลากร
2.              ค่าใช้จ่ายสำหรับงานสนาม
3.             ค่าใช้จ่ายสำนักงาน
4.             ค่าครุภัณฑ์
5.             ค่าประมวลผลข้อมูล
6.             ค่าพิมพ์รายงาน
7.             ค่าจัดประชุมวิชาการ เพื่อปรึกษาเรื่องการดำเนินงาน หรือเพื่อเสนอผลงานวิจัยเมื่อจบโครงการแล้ว
8.             ค่าใช้จ่ายอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม แหล่งทุนสนับสนุนการวิจัยแต่ละแห่งอาจกำหนดรายละเอียดของการเขียนงบประมาณแตกต่างกัน  ผู้ที่จะขอทุนวิจัยจึงควรศึกษาวิธีการเขียนงบประมาณของแหล่งทุนที่ตนต้องการขอทุนสนับสนุน และควรทราบถึงยอดเงินงบประมาณสูงสุดต่อโครงการที่แหล่งทุนนั้นๆ จะให้การสนับสนุนด้วย  เนื่องจากถ้าผู้วิจัยตั้งงบประมาณไว้สูงเกินไป โอกาสที่จะได้รับการสนับสนุนก็จะมีน้อยมาก

สรุปได้ว่า    ผู้วิจัยจะต้องคำนวณงบประมาณค่าใช้จ่ายต่างๆที่จำเป็นต้องใช้ในการทำวิจัยตลอดโครงการตามความเป็นจริงเพื่อจะได้จัดเตรียมไว้ลวงหน้าเพื่องานวิจัยจะได้ไม่ชะงักภายหลัง

ที่มา
พิสณุ  ฟองศรี. (2553). วิจัยทางการศึกษา.พิมพ์ครั้งที่ 7.กรุงเทพฯ : ด่านสุทธาการพิมพ์ จำกัด.
ภัทรา นิคมานนท์.(2542).ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการวิจัย.พิมพ์ครั้งที่ 2.กรุงเทพฯ:อักษราพิพัฒน์
http://blog.eduzones.com/jipatar/85921  เข้าถึงเมื่อวันที่ 17/12/2555

19. การบริหารงานวิจัยและตารางการปฏิบัติงาน ( Administration & Time Schedule )


ภิรมย์ กมลรัตนกุล (2531 : 8) ได้ กล่าวไว้ว่า  การบริหารงานวิจัย คือ กิจกรรมที่ทำให้งานวิจัยนั้น สำเร็จลุล่วงด้วยดี  โดยมีการวางแผน ดำเนินงานตามแผน และประเมินผลในการเขียนโครงร่างการวิจัย ควรมีผลการดำเนินงานตั้งแต่เริ่มแรกจนเสร็จสิ้นโครงการเป็นขั้นตอน ดังนี้
1.วิเคราะห์ปัญหาและกำหนดวัตถุประสงค์
2. กำหนดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งเอาไว้ เช่น
                2.1 ขั้นเตรียมการ
                                - ติดต่อเพื่อขออนุมัติดำเนินการ
                                - ติดต่อผู้นำชุมชน
                                - การเตรียมชุมชน
                                - การคัดเลือกผู้ช่วยนักวิจัย
                                - การเตรียมเครื่องมือที่จะใช้ในการสำรวจ
                                - การอบรมผู้ช่วยนักวิจัย
                                - การทดสอบเครื่องมือในการสำรวจ
                                - การแก้ไขเครื่องมือในการสำรวจ
                2.2 ขั้นปฏิบัติงาน
                                - ขั้นการวิเคราะห์ข้อมูล
                                - ขั้นการเขียนรายงาน
3. ทรัพยากรที่ต้องการของแต่ละกิจกรรมรวมทั้งเวลาที่ใช้
4. การ ดำเนินงาน ต้องตัดสินใจเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล การจัดสรรงบประมาณ และการรวบรวมข้อมูลสำหรับการบริหารงานบุคคล จำเป็นต้องดำเนินการวางแผนกิจกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับ
                ก. การจัดองค์กร เช่น การกำหนดหน้าที่ของคณะผู้ร่วมวิจัยแต่ละคนให้ชัดเจน การประสานงาน การสรรหาและการพัฒนาบุคคลากร เป็นต้น
                ข. การสั่งงาน ได้แก่ การมองหมายงาน การควบคุม เป็นต้น
                ค. การควบคุมการจัดองค์กร นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการดำเนินงานเพื่อใช้ในการสั่งการ และควบคุมคุณภาพของงานโดยอาจทำเป็น แผนภูมิการสั่งการเพื่อวางโครงสร้างของทีมงานวิจัย กำหนดขอบเขตหน้าที่ตลอดจนติดตามประเมินผลให้บรรลุตามวัตถุประสงค์หรือทำเป็น แผนภูมิเคลื่อนที่
                ง. การควบคุมโครงการ เช่น ทำเป็นตารางปฏิบัติงานซึ่งเป็นตารางกำหนดระยะเวลาในการปฏิบัติงานของแต่ละ กิจกรรมเพื่อช่วยให้การควบคุมเวลาและแรงงาน เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และอาจ ช่วยกระตุ้นให้ผู้วิจัยทำเสร็จทันเวลา ตารางปฏิบัติงานจะดูความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมที่จะปฏิบัติและระยะเวลาของ แต่ละกิจกรรม โดยแนวนอนจะเป็นระยะเวลาที่ใช้ของแต่ละกิจกรรม ส่วนแนวตั้งจะเป็น กิจกรรมต่าง ๆที่ได้กำหนดไว้ จากนั้นจึงใช้แผนภูมิแท่งในการแสดงความสัมพันธ์นี้
                จ. การนิเทศงาน ได้แก่ การแนะนำ ดูแล แก้ไขซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการควบคุมงานให้มีประสิทธิภาพนั่นเอง
เสนาะ ติเยาว์ (2544 : 1) ได้ กล่าวไว้ว่า การบริหารงานวิจัย คือ กระบวนการทำงานกับคนและโดยอาศัยคน เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การภายใต้สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งแยกตามสาระของความหมายนี้ได้ 5 ลักษณะ คือ
1. การบริหารเป็นการทำงานกับคนและโดยอาศัยคน
2. การบริหารทำให้งานบรรลุเป้าหมายขององค์การ
3. การบริหารเป็นความสมดุลระหว่างประสิทธิผลและประสิทธิภาพ
4. การบริหารเป็นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุดและการบริหารจะต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป
5. การบริหารที่จะประสบผลสำเร็จจะต้องสามารถคาดคะเนการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างถูกต้อง
พรศักดิ์ ผ่องแผ้ว (2545 : 728)ได้ กล่าวไว้ว่า การบริหารจัดการเป็นกลไกสำคัญในการดำเนินงานการวิจัยให้ประสบความสำเร็จ ประกอบกับสิ่งอำนวยความสะดวก คือ โครงการพื้นฐานต้องพอเพียงซึ่งหมายถึงงบประมาณการวิจัย นักวิจัยหน่วยงานเป็นสิ่งจำเป็นในการทำให้ระบบการวิจัยดำเนินไปอย่างมี ประสิทธิภาพ หากมีการบริหารจัดการที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูง
สรุปได้ว่า   การบริหารจัดการเป็นกลไกสำคัญในการดำเนินงานการวิจัยให้ประสบความสำเร็จ ประกอบกับสิ่งอำนวยความสะดวก คือ โครงการพื้นฐานต้องพอเพียงซึ่งหมายถึงงบประมาณการวิจัย นักวิจัยหน่วยงานเป็นสิ่งจำเป็นในการทำให้ระบบการวิจัยดำเนินไปอย่างมี ประสิทธิภาพ หากมีการบริหารจัดการที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูง
    
  ที่มา
เสนาะ ติเยาว์.( 2544) หลักการบริหาร. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
พรศักดิ์ ผ่องแผ้ว.( 2545)  ศาสตร์แห่งการวิจัยทางการเมืองและสังคม. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพมหานคร : สมาคมรัฐศาสตร์แห่งประเทศไทย.
ภิรมย์ กมลรัตนกุล.( 2544) หลักเบื้องต้นในการทำวิจัย. กรุงเทพมหานคร : เท็กซ์แอนด์เจอร์นัลพับลิเคชั่น จำกัด.

18. อุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการวิจัยและมาตรการในการแก้ไข


                พิสณุ  ฟองศรี (2549:51) กล่าวว่า นักวิจัยที่มีประสบการณ์จะทราบถึงอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นทั้งปัญหาที่คาดการณ์ได้ล่วงหน้า และคาดการณ์ไม่ได้ ในกรณีนิสิตนักศึกษาถ้าได้พบปะอาจารย์ที่ปรึกษาสม่ำเสมอ โอกาสจะประสบปัญหาจนแก้ไม่ได้จะลดน้อยลง
ภิรมย์ กมลรัตนกุล (2531:8) ได้กล่าวไว้ว่า การทำวิจัย ต้องพยายามหลีกเลี่ยงอคติ และความคลาดเคลื่อน ที่อาจจะเกิดขึ้น จากการวิจัยนั้น ให้มากที่สุด เพื่อให้ผลการวิจัย ใกล้เคียงกับความเป็นจริง โดยใช้รูปแบบการวิจัย, ระเบียบวิธีวิจัย และสถิติที่เหมาะสม แต่ในสภาพความเป็นจริงแล้ว อาจมีข้อจำกัดต่าง ๆ เกิดขึ้น ดังนั้น การคำนึงเฉพาะ ความถูกต้องอย่างเดียว อาจไม่สามารถ ทำการวิจัยได้
แนวทางการแก้ไข
นักวิจัย อาจจำเป็นต้องมี การปรับแผนบางอย่าง เพื่อให้สามารถปฏิบัติได้ แต่สิ่งสำคัญก็คือ ผู้วิจัย ต้องตระหนัก หรือรู้ถึงขีดข้อจำกัด ดังกล่าวนั้น และมีการระบุ ไว้ในโครงร่าง การวิจัยด้วย ไม่ใช่แกล้งทำเป็นว่า ไม่มีข้อจำกัดเลย จากนั้น จึงคิดหามาตรการ อย่าให้ "ความเป็นไปได้" มาทำลาย ความถูกต้อง เสียหมด เพราะจะส่งผลให้ งานวิจัยเชื่อถือไม่ได้
สุวัฒนา สุวรรณเขตนิคม (2538:6) ได้กล่าวไว้ว่า อุปสรรคในการวิจัยที่สำคัญ สรุปได้ ดังนี้
1) ขาดนักวิจัยที่มีคุณภาพ นักวิจัยในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ ซึ่งเป็นกำลังหลัก 16,351 - 19,115 คน
สามารถผลิตผลงานวิจัยในเกณฑ์ดี ดีมาก และดีเด่นได้เพียงร้อยละ 5.6 , 0.6 และ 0.1 เท่านั้น
2) ผู้บริหารขาดความสามารถในการบริหารจัดการและไม่เห็นความสำคัญของการวิจัย
3) มีแหล่งเงินทุนเพื่อการวิจัยน้อย
4) นักวิจัยมีภาระงานอื่นที่ต้องปฏิบัติมากทำให้ไม่มีเวลาสำหรับทำวิจัย
5) ขาดผู้ช่วยงาน ทรัพยากรสนับสนุนการวิจัย และมีปัญหาขาดความร่วมมือในการวิจัย
 แนวทางการแก้ไข
1) กำหนดนโยบาย ทิศทาง เป้าหมายหลัก และแผนงานวิจัยระดับชาติที่ชัดเจนและเป็นเอกภาพ
2) สนับสนุนองค์กรจัดสรรทุนอย่างจริงจังให้มีความเป็นอิสระ มีความหลากหลายในทางปฏิบัติ เพื่อให้การจัดสรรทุนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสัมฤทธิผลของงานวิจัยที่มีคุณภาพ
3) ต้องมีมาตรการการสร้างนักวิจัยที่มีคุณภาพควบคู่ไปกับงานวิจัยของชาติ
4) ระดมทุนและทรัพยากรทั้งภาครัฐและเอกชน มีมาตรการจัดสรรทุนและทรัพยากรที่ดี เพื่อให้ผลิตผลงานวิจัยที่ได้คุณภาพ
5) มีมาตรการสร้างความเข้มแข็งให้แก่หน่วยงานวิจัยเฉพาะทาง
สรุปได้ว่า  นักวิจัยที่มีประสบการณ์จะทราบถึงอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นทั้งปัญหาที่คาดการณ์ได้ล่วงหน้า และคาดการณ์ไม่ได้ นักวิจัยต้องพยายามหลีกเลี่ยงอคติ และความคลาดเคลื่อน ที่อาจจะเกิดขึ้น จากการวิจัยนั้น ให้มากที่สุด เพื่อให้ผลการวิจัย ใกล้เคียงกับความเป็นจริง โดยใช้รูปแบบการวิจัย, ระเบียบวิธีวิจัย และสถิติที่เหมาะสม แต่ในสภาพความเป็นจริงแล้ว อาจมีข้อจำกัดต่าง ๆ เกิดขึ้น ดังนั้น การคำนึงเฉพาะ ความถูกต้องอย่างเดียว อาจไม่สามารถ ทำการวิจัยได้

ที่มา
พิสณุ  ฟองศรี. (2553). วิจัยทางการศึกษา.พิมพ์ครั้งที่ 7.กรุงเทพฯ : ด่านสุทธาการพิมพ์ จำกัด.
ภิรมย์ กมลรัตนกุล(2531).หลักเบื้องต้นในการทำวิจัย.กรุงเทพมหานคร: หอสมุดกลาง.
สุวัฒนา สุวรรณเขตนิคม. (2538).หลักการ แนวคิดและรูปแบบเกี่ยวกับการวิจัยในชั้นเรียน.เส้นทางสู้การวิจัยในชั้นเรียน.กรุงเทพมหานคร:บพิธการพิมพ์.

17. ผลหรือประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัย ( Expected Benefits & Application )


นพเก้า ณ พัทลุง (2548:47) กล่าวว่า ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับเมื่อทำการวิจัยไปแล้ว และสามารถนำผลไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร

http://blog.eduzones.com/jipatar/85921 ได้รวบรวมไว้ว่า ประโยชน์ที่จะนำไปใช้ได้จริง ในด้านวิชาการ เช่น จะเป็นการค้นพบทฤษฎีใหม่ซึ่งสนับสนุนหรือ คัดค้านทฤษฎีเดิม และประโยชน์ในเชิงประยุกต์ เช่น นำไปวางแผนและกำหนดนโยบายต่างๆ หรือประเมินผลการปฏิบัติงานเพื่อหาแนวทางพัฒนาให้ดีขึ้น เป็นต้น โดยครอบคลุมทั้ง ผลในระยะสั้น และระยะยาว ทั้งผลทางตรง และทางอ้อม และควรระบุในรายละเอียดว่า ผลดังกล่าว จะตกกับใคร เป็นสำคัญ ยกตัวอย่าง เช่น โครงการวิจัยเรื่อง การฝึกอบรมอาสาสมัคร ระดับหมู่บ้าน ผลในระยะสั้น ก็อาจจะได้แก่ จำนวนอาสาสมัครผ่านการอบรมในโครงนี้ ส่วนผลกระทบ (impact) โดยตรง ในระยะยาว ก็อาจจะเป็น คุณภาพชีวิตของคนในชุมชนนั้น ที่ดีขึ้น ส่วนผลทางอ้อม อาจจะได้แก่ การกระตุ้นให้ประชาชน ในชุมชนนั้น มีส่วนร่วม ในการพัฒนาหมู่บ้าน ของตนเอง

http://www.unc.ac.th/elearning/elearning1/Duddeornweb/impact1.htm  ได้รวบรวมไว้ว่า  ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัย เป็นความสำคัญของการวิจัยที่ผู้วิจัยพิจารณาว่าการวิจัยเรื่องนั้นทำให้ทราบผลการวิจัยเรื่องอะไร และผลการวิจัยนั้นมีประโยชน์ต่อใคร อย่างไร เช่น การระบุประโยชน์ที่เกิดจากการนำผลการวิจัยไปใช้ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มพูนความรู้หรือนำไปเป็น แนวทางในการปฏิบัติ หรือแก้ปัญหา หรือพัฒนาคุณภาพ หลักในการเขียนมีดังนี้
                      1. ระบุประโยชน์ที่อาจเกิดจากผลที่ได้จากการวิจัย
                      2. สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และอยู่ในขอบเขตของการวิจัยที่ได้ศึกษา
                      3. ในกรณีที่ระบุประโยชน์มากกว่า 1 ประการ ควรระบุเป็นข้อ
                      4. เขียนด้วยข้อความสั้น กะทัดรัด ชัดจน
                      5. การระบุนั้นผู้วิจัยต้องตระหนักว่ามีความเป็นไปได้

สรุปได้ว่า     ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับเมื่อทำการวิจัย เป็นประโยชน์ที่จะนำไปใช้ได้จริง ในด้านวิชาการ เช่น จะเป็นการค้นพบทฤษฎีใหม่ซึ่งสนับสนุนหรือ คัดค้านทฤษฎีเดิม และประโยชน์ในเชิงประยุกต์ เช่น นำไปวางแผนและกำหนดนโยบายต่างๆ หรือประเมินผลการปฏิบัติงานเพื่อหาแนวทางพัฒนาให้ดีขึ้น เป็นต้น

ที่มา
นพเก้า ณ พัทลุง.(2548).การวิจัยในชั้นเรียน หลักการและแนวคิดสู่ปฏิบัติ.พิมพ์ครั้งที่ 1: คณะศึกษาศาสตร์             มหาวิทยาลัยทักษิณ.
http://blog.eduzones.com/jipatar/85921  เข้าถึงเมื่อวันที่ 17/12/2555
http://www.unc.ac.th/elearning/elearning1/Duddeornweb/impact1.htm  เข้าถึงเมื่อวันที่ 23/12/2555

16. ข้อจำกัดในการวิจัย ( Limitation )


พิสณุ  ฟองศรี (2553:189) กล่าวว่า การวิจัยก็เหมือนกับการดำเนินงานทั่วไปที่ต้องมีข้อจำกัดเกิดขึ้นได้ ซึ่งผู้วิจัยควรเขียนไว้เพื่อให้ผู้อ่านทราบ และถ้ามีผู้ตรวจก็จะได้รู้ว่าผู้วิจัยทราบถึงข้อจำกัดเหมือนกันแต่ไม่อยู่ในวิสัยที่ทำได้ นอกจากนี้ผู้จะวิจัยต่อไปมีโอกาสทราบและหาวิธีหลีกเลี่ยงหรือแก้ไขได้
http://pioneer.netserv.chula.ac.th/~jaimorn/re7.htm  ได้รวบรวมไว้ว่า ข้อจำกัดของการวิจัย (Limitation) เป็นข้อคาดการณ์บางสิ่งที่อาจเกิดขึ้นโดยบังเอิญ และไม่อาจควบคุมได้ในงานวิจัย เช่น ข้อมูล แหล่งข้อมูล วิธีการที่ผู้วิจัยไม่สามารถควบคุมได้ในการวิจัย ทำให้การศึกษานั้นไม่สำเร็จตามจุดมุ่งหมาย
http://ajdusadee-dusadee.blogspot.com/2011/01/blog-post.html ได้รวบรวมไว้ว่า ข้อจำกัด (limitation) เป็นการเขียนเมื่อผู้วิจัยทำวิจัยเสร็จสิ้นแล้ว และพบผลจากการวิจัย ที่มีข้อจำกัดอื่น ๆหรือจุดอ่อนของการวิจัยที่ผู้วิจัยต้องการให้ผู้อ่าน ผู้ใช้ผลงานวิจัย ได้พึงระวัง
สรุปได้ว่า   ข้อจำกัดของการวิจัย เป็นข้อคาดการณ์บางสิ่งที่อาจเกิดขึ้นโดยบังเอิญ และไม่อาจควบคุมได้ในงานวิจัย  ผู้วิจัยควรเขียนไว้เพื่อให้ผู้อ่านทราบ และถ้ามีผู้ตรวจก็จะได้รู้ว่าผู้วิจัยทราบถึงข้อจำกัดเหมือนกันแต่ไม่อยู่ในวิสัยที่ทำได้
ที่มา
พิสณุ  ฟองศรี. (2553). วิจัยทางการศึกษา.พิมพ์ครั้งที่ 7.กรุงเทพฯ : ด่านสุทธาการพิมพ์ จำกัด.
http://ajdusadee-dusadee.blogspot.com/2011/01/blog-post.html เข้าถึงเมื่อวันที่ 23/12/2555
http://pioneer.netserv.chula.ac.th/~jaimorn/re7.htm  เข้าถึงเมื่อวันที่ 23/12/2555

15. ปัญหาทางจริยธรรม ( Ethical Consideration )


พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2544 : 28) กล่าวว่า ปัญหาทางจริยธรรมหรือการผิดจรรยาบรรณ มีการกระทำผิดทั้งผู้ทำวิจัยหรือผู้ขอทุนวิจัยและผู้ให้ทุนวิจัย ซึ่งมีหลายลักษณะดังนี้
1.การตั้งชื่อเรื่อง
- ลอกเลียนแบบชื่อเรื่องงานวิจัยของผู้อื่น
- ตั้งชื่อเรื่องวิจัยให้หน่วยงานโดยหวังผลประโยชน์ส่วนตน
2.การขอรับทุนสนับสนุน
- งานวิจัยเรื่องเดียวแต่ขอรับทุนหลานแหล่ง
- เปลี่ยนชื่อบางส่วน เช่น เปลี่ยนชื่อจังหวัดแต่เนื้อในเหมือนกันหมดแล้วแยกกันไปขอทุน
- แอบอ้างชื่อนักวิจัยและที่ปรึกษาโครงการ
- การติดสินบนผู้พิจารณา
- ขอทุนแล้วเอาไปจ้างผู้อื่นทำต่อ
- การพิจารณาทุนมีการเกรงใจกันหรือใช้วิธีการตกลงกันล่วงหน้า (lobby) มาก่อน
3.งบประมาณการวิจัย
- ตั้งงบประมาณสูงเกินจริง และไร้เหตุผล
- ผู้ให้ทุนสร้างเงื่อนไขให้เบิกยาก เช่น ใช้ระบบราชการเพื่อแลกกับผลประโยชน์บางอย่าง
4.การทำวิจัย
- แอบอ้างชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจเครื่องมือวิจัยโดยส่งเครื่องมือไปให้เป็นพิธี
- ไม่ส่งผลงานวิจัยตามกำหนดเวลาที่ขอทุน
- ไม่ได้เก็บข้อมูลจริงใช้วิธีสร้างข้อมูลขึ้นมาใหม่ (ยกเมฆ)
- ยักยอกงบประมาณไปใช้ส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับงานวิจัย
- เร่งรีบทำวิจัยช่วงใกล้ ๆ วันจะส่งผลงานวิจัยทำให้ผลงานวิจัยไม่มีคุณภาพ
- ไม่มีความรู้พอที่จะทำวิจัย
5.การเขียนรายงานการวิจัย
- จูงใจ เบี่ยงเบนผลการวิจัยโดยหวังผลประโยชน์ส่วนตน
- เขียนรายงานในสิ่งที่ไม่ได้ทำจริง เช่น ไม่ได้หาคุณภาพเครื่องมือวิจัยแต่เขียนว่าหาคุณภาพเครื่องมือวิจัยพร้อมทั้งรายงานค่าสถิติที่สร้างขึ้นเอง เป็นต้น
- คัดลอกข้อมูลของผู้อื่นโดยไม่อ้างอิง
- นำผลงานวิจัยผู้อื่นมาเปลี่ยนชื่อเป็นของตน
6.การส่งผลงานวิจัย
- ได้ทุนแล้วเมื่อครบกำหนดเงื่อนไขไม่ยอมส่งผลงานวิจัยให้หน่วยงานที่ให้ทุนตามสัญญา
- ไม่ได้แก้ตามประเด็นที่ตกลงไว้ก่อนรับทุน และผู้ให้ทุนก็ไม่ได้ตรวจ
                องอาจ นัยพัฒน์ (2548 :24)  กล่าวว่า จริยธรรมและจรรยาบรรณในการวิจัยในกระบวนการแสวงหาความรู้ความจริงด้วยวิธีการวิจัย นักวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์มักมีโอกาสเสี่ยงต่อปัญหาทางด้านจริยธรรม (ethical problem) นานัปการ เช่น
1.การละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว (privacy) ของบุคคลแต่ละคนหรือกลุ่มชนแต่ละกลุ่ม (ทั้งโดยการเฝ้าสังเกตการณ์และสอบถามเรื่องส่วนตัว)
2.การหลอกลวง (deception) หน่วยตัวอย่างที่ให้ข้อมูลเพื่อประโยชน์ในการทำวิจัย
3.การบิดเบือนข้อค้นพบของการศึกษาวิจัย รวมทั้งการแอบอ้างผลงานวิจัยของบุคคลอื่นมาเป็นของตนเอง (plagiarism) ปัญหาทางด้านจริยธรรมทางการวิจัยในด้านต่าง ๆ เหล่านี้อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อหน่วยตัวอย่างที่ให้ข้อมูลทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ

http://www.kmddc.go.th/blogitem.aspx?itemid=2836  ได้รวบรวมไว้ว่า  เนื่องจากในอดีตในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มี ตัวอย่างของงานวิจัยที่ไม่เป็นไปตามหลักจริยธรรมซึ่งมีอยู่มาก เช่น การ ทดลองทางการแพทย์ต่อเชลยศึกในสงครามโลกครั้งที่2  แพทย์นาซีเยอรมันทดลองต่อเชลยศึก เพื่อศึกษาผลของสารเคมี ยา เชื้อโรค และสภาวะต่างๆ ต่อมนุษย์ การทดลองให้มนุษย์อยู่ในอุณหภูมิต่างๆ   การเอาน้ำร้อนอุณหภูมิต่างๆ กรอกเข้าไปในร่างกายคน   ฉีดเชื้อมาลาเรียเพื่อหาวิธีการรักษาด้วยยาต่างๆ   ทดลองเกี่ยวกับแผลติดเชื้อ โดยทำให้เกิดแผล แล้วเอาเศษแก้ว เศษไม้ใส่ให้เหมือนกับภาวะในสงครามจริงๆ   เอาคนเข้าไปขังในห้องที่ปรับความดันอากาศในระดับต่าง ๆ เพื่อผลประโยชน์ในการพัฒนาทางการทหาร  แต่การทดลองเหล่านี้ทำให้ผู้ถูก วิจัยต้องทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดมาก  กรณีศึกษาของการทดลองที่ไม่มีจริยธรรมได้รับการเปิดเผย ทำให้มีคน กลุ่มหนึ่งรวมตัวกันเพื่อแก้ไขปัญหา เสนอว่าการวิจัยควรต้องมีกฎเกณฑ์ ต่างๆ เพื่อให้ถูกต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับหลักจริยธรรมการวิจัย

                สรุปได้ว่า   ปัญหาทางจริยธรรมหรือการผิดจรรยาบรรณ มีการกระทำผิดทั้งผู้ทำวิจัยหรือผู้ขอทุนวิจัยและผู้ให้ทุนวิจัย  ปัญหาทางจริยธรรม มักมีโอกาสเสี่ยงต่อปัญหาทางด้านจริยธรรม (ethical problem) ดังนั้นคุณสมบัติที่ดีของผู้วิจัย คือ มีความซื่อสัตย์  มีความรู้  ไม่มีอคติต่อผู้ที่เกี่ยวข้องหรือหัวข้อวิจัย ไม่เอาความคิดส่วนตัวมาเป็นเครื่องตัดสินใจผลวิจัย  ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น เป็นคนช่างสังเกต  ละเอียด  รอบคอบ  มีความอดทน ตรงต่อเวลา  มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี และรู้จักประหยัดใช้ทรัพยากรในการวิจัย

ที่มา
พิชิต ฤทธิ์จรูญ.(2544).ระเบียบวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์.กรุงเทพมหานคร : ครุศาสตร์ สถาบันราชภัฏพระนคร.
องอาจ นัยพัฒน์.(2548).วิธีวิทยาการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์. กรุงเทพมหานคร : ห้างหุ้นส่วนจำกัดสามลดา.
http://www.kmddc.go.th/blogitem.aspx?itemid=2836  เข้าถึงเมื่อวันที่ 23/12/2555